การเติมฟิลเลอร์ใต้ตานับว่าเป็นวิธีรักษาริ้วรอยบริเวณใต้ตาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคปัจจุบัน การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถช่วยเติมเต็มร่องใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาให้กับคนที่มีปัญหาขอบตาดำและใต้ตาคล้ำ ให้กลับมาดูสดใสได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อขอบตาและผิวใต้ตาดูเรียบเนียนสดใส ก็จะช่วยปรับบุคลิกภาพและคืนความมั่นใจให้กับการใช้ชีวิตได้ หลายคนจึงมีความสนใจที่จะลองรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ แต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้เนื่องจากบริเวณที่ฉีดอยู่ใกล้ดวงตา ซึ่งเป็นบริเวณที่บอบบาง และบางคนกลัวเจ็บ ดังนั้นในครั้งนี้เราจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดใต้ตามาบอกทุกคน
ทำไมต้องมีการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ?
เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบต่าง ๆ อย่างบริเวณใบหน้า ส่วนกระดูกที่ใบหน้าจะมีการยุบตัวลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย ริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะเห็นได้ชัดเจน และบางคนมีไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างหนัก อาจพักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง รับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ
สิ่งเหล่านี้ก็จะยิ่งทำให้ใบหน้าดูโทรมอย่างเห็นได้ชัด และจะทำให้เกิดปัญหาร่องลึกและถุงใต้ตา ยิ่งหากพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะยิ่งทำให้มีปัญหาใต้ตาคล้ำร่วมด้วย ปัญหาเหล่านี้จึงนำมาซึ่งการแก้ปัญหาด้วยวิธีการนำฟิลเลอร์ไปฉีดใต้ตา
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นกระบวนการหนึ่งในการเติมสารในกลุ่ม Hyaluronic Acid (HA) ไปที่บริเวณใต้ตา วิธีการนี้จะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้าดังนี้
- แก้ปัญหาขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยทำให้บริเวณใต้ตามีชั้นผิวที่หนาขึ้น เมื่อใต้ตาถูกเติมเต็มให้ดูฟูขึ้น ก็จะช่วยให้ใบหน้าในภาพรวมดูสว่างกระจ่างใสขึ้นด้วย
- แก้ปัญหาถุงใต้ตา และใต้ตาหย่อนคล้อย การฉีดใต้ตาด้วยฟิลเลอร์จะเป็นการเติมสารที่ช่วยพยุงโครงสร้างของผิวที่อ่อนแรง เสมือนเป็นการเสริมความแข็งแรงเข้าไป จึงช่วยให้ถุงใต้ตาดูกระชับขึ้น
- แก้ปัญหาใต้ตาลึก ตาโหล ฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยเติมเต็มชั้นผิวใต้ตา ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาตื้นขึ้น ไม่เป็นเบ้าลึก
- แก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ผิวใต้ตาเหี่ยวย่น สาร HA ที่นำมาฉีดใต้ตาเป็นสารที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ เมื่อฉีดเติมเต็มเข้าไปจึงทำให้ผิวใต้ตาดูอิ่มน้ำและริ้วรอยลดลง
ฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเลือกแบบไหนถึงจะเหมาะสม ?
ด้วยสรีระและปัญหาบริเวณใต้ตาของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาก็ควรจะต้องมีการพิจารณาเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่จะทำการฉีดให้เหมาะสม โดยมีหลักการพิจารณาง่าย ๆ ดังนี้
- ฉีดบริเวณชั้นใต้ตาลึก เป็นบริเวณกระดูกเบ้าตา ชั้นไขมันที่อยู่ลึกเข้าไป ให้เลือกใช้เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เพราะจะช่วยยกกระชับได้ดี
- ฉีดบริเวณใต้ตาชั้นตื้น เป็นบริเวณชั้นไขมันด้านบน ให้เลือกฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เพราะจะกลมกลืนไปกับผิวได้ดี ทำให้ดูสวยเป็นธรรมชาติ
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
หลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นไปได้ว่าอาจพบอาการข้างเคียงบางประการ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้
-
อาการข้างเคียงทั่วไปหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
อาการข้างเคียงทั่วไปที่มักเกิดขึ้นหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาก็คือ อาการบวม แดง หรือเขียวช้ำในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นนี้เป็นการอาการปกติหลังจากการฉีด ไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวล แค่หลีกเลี่ยงการสัมผัส การกด การเกาในบริเวณนั้น ๆ และเลี่ยงการขยับศีรษะหรือใบหน้าอย่างรุนแรง ประมาณ 3-7 วัน อาการบวมแดง รอยเขียวช้ำ และอาการคันก็จะหายไปเอง หากยังมีอาการปวดอยู่บ้างก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้ และสามารถกลับมาแต่งหน้าได้ตามปกติ
-
อาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
เป็นอาการข้างเคียงที่ไม่ได้คาดคิด พบได้น้อยแต่สามารถเกิดขึ้นได้ก็จะมีทั้ง
- เป็นก้อนใต้ตาหลังฉีด เกิดได้จาก 3 สาเหตุสำคัญดังนี้
- มีปัญหาที่โครงสร้างใต้ตา บางคนอาจมีปัญหาที่โครงสร้างผิวใต้ตา แต่ขอฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเลยโดยไม่แก้ไขปัญหาเรื่องโครงสร้างผิวใต้ตาที่อ่อนแรงก่อน ก็อาจทำให้เกิดเป็นก้อนใต้ตาขึ้นได้ ตรงนี้จึงแนะนำว่าก่อนฉีดควรมีการปรึกษาแพทย์ผู้ทำ ให้แพทย์ช่วยวิเคราะห์ดูก่อนว่าควรแก้ปัญหาตามลำดับอย่างไรบ้าง
- ฟิลเลอร์ที่ฉีดไม่ได้มาตรฐาน หากฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ใช่ของแท้ หลังฉีดก็อาจทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นได้ ซึ่งการแก้ไขก็ค่อนข้างยากเพราะต้องผ่าตัดขูดฟิลเลอร์ออก จึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดไม่เหมาะสม ปกติแล้วปริมาณฟิลเลอร์ที่จะฉีดเติมเข้าไปที่ใต้ตา จะอยู่ที่ปริมาณ 1-2 CC หากมากเกินกว่านี้ก็จะทำให้เกิดก้อนนูนที่ใต้ตาได้ ตรงนี้จึงอยู่ที่ความชำนาญของแพทย์ในการประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่จะใช้ เพราะสรีระใต้ตาของแต่ละบุคคลก็จะมีความแตกต่างกันไป หากแพทย์ไม่ชำนาญก็อาจมีการประเมินผิดพลาดได้เช่นกัน
- อาการแพ้ฟิลเลอร์ จะมีอาการบวม แดง และอาจคันได้ในบริเวณที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งอาการแพ้อาจไม่เกิดขึ้นหลังการฉีดทันทีก็ได้ อาการแพ้อาจเกิดขึ้นหลังผ่านฉีดมาสักระยะใหญ่ ๆ แล้วก็มีเช่นกัน หากสงสัยหรือพบว่าตนเองมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ต้องรีบมาพบแพทย์โดยทันที
- อาการเนื้อตาย (Necrosis) และตาบอด เป็นอาการที่เกิดขึ้นเพราะการฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หากฉีดเข้าไปถูกหลอดเลือดแดง ก็จะทำให้หลอดเลือดแดงเกิดการอุดตัน ก็จะนำมาสู่อาการผิวหนังขาดเลือดหรืออาการเนื้อตาย และหากการอุดตันนั้นเกิดขึ้นที่บริเวณหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา ก็จะทำให้ถึงขั้นตาบอดได้ แต่โดยทั่วไปจะไม่พบ หากเกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นในกรณีผู้ที่ฉีดไม่ใช่แพทย์ จึงแนะนำว่าการฉีดฟิลเลอร์ควรกระทำโดยแพทย์ที่ชำนาญการเท่านั้น
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเตรียมตัวอย่างไร ?
- ก่อนการฉีด 1 วัน ควรเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด และควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- ก่อนการฉีด 1 วัน ควรงดการรับประทานยาบางชนิด อย่างยาแก้ปวดแอสไพริน รวมไปถึงเลี่ยงการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างวิตามินอี และอาหารเสริมสมุนไพรต่าง ๆ เพราะจะช่วยลดอาการบวมใต้ตาได้เร็วขึ้น
- ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์และการฉีดใต้ตาอย่างละเอียด
- เลือกสถานบริการที่มีมาตรฐานและเลือกแพทย์ผู้ฉีดที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาโดยเฉพาะ อ่านวิธีการเลือกเพิ่มเติมได้ที่: ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี
สรุป
โดยสรุปแล้วการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหาใต้ตาอย่างได้ผลโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ปัญหาเบ้าตาลึก ใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ ถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย แต่อย่างไรก็ดีกระบวนการดังกล่าวนี้ก็จะต้องทำฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และจะต้องเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานและเป็นของแท้ ผ่านการรับรองจาก อย. แล้วเท่านั้น ก็จะทำให้การฉีดปลอดภัย ไร้กังวล และได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง