การร้อยไหมในแต่ละตำแหน่งและแต่ละบุคคลนั้น จำเป็นต้องมีการเลือกชนิดของเส้นไหมให้ตรงกับความเหมาะสมมากที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของการร้อยไหมที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจน ดังนั้น หมอจะมาอธิบายว่าร้อยไหมมีกี่แบบ ไหมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงควรใช้ปลายเข็มแบบไหนในการร้อยไหม
การร้อยไหมคืออะไร ?
การร้อยไหมเป็นนวัตกรรมการปรับรูปหน้ารูปแบบหนึ่ง ผลลัพธ์ทำให้ใบหน้าเรียวสวยโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนานและมีผลข้างเคียงน้อยเมื่อเทียบกับการผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้า การร้อยไหมในปัจจุบันส่วนใหญ่นิยมใช้ไหมแบบละลาย เพื่อยกกระชับปรับรูปหน้าหรือร้อยไหมเก็บเหนียงให้ได้รูปมากยิ่งขึ้น
ร้อยไหมมีกี่แบบ ?
การร้อยไหมสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบหลักๆ คือไหมละลาย และไหมไม่ละลาย ซึ่งทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอยู่ดังนี้ค่ะ
- ไหมละลาย หรือมีอีกชื่อว่าไหม PDO ไหมชนิดนี้สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างเนื่องจากไม่มีผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อน ไหมชนิดนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ในปัจจุบันได้รับความนิยมมากอย่างแพร่หลาย
- ไหมไม่ละลาย เคยเป็นที่นิยมในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นที่นิยมแล้ว เนื่องจากไหมชนิดนี้ไม่สามารถสลายไปเองตามธรรมชาติได้ ทั้งยังไม่สามารถทนความร้อนสูง และไม่สามารถผ่านเครื่องสแกน CT Scan หรือ MRI ได้ ซึ่งอาจทำให้รูปทรงของไหมบิดเบี้ยวและเกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ตามมา
ลักษณะของเส้นไหม
ลักษณะของเส้นไหมที่ใช้ร้อยไหมนั้นจะมีหลายแบบ แต่ละแบบมีคุณสมบัติและหลักการทำงานที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้
-
- ไหมเรียบ (Mono Thread) แบ่งได้เป็นอีก 2 ประเภท ได้แก่ ไหมเรียบตรงและไหมเกลียว มีคุณสมบัติแตกต่างกันอยู่เล็กน้อยคือไหมเรียบตรงจะเน้นช่วยฟื้นฟูผิว ช่วยให้รูขุมขนและหลุมสิวตื้นขึ้น ส่วนไหมเกลียวจะเน้นในเรื่องของการช่วยเพิ่มวอลลุ่มของผิวให้ดูอิ่มฟูขึ้น แต่ทั้ง 2 ประเภทนี้สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังได้ดีเหมือนกัน
- ไหมเงี่ยง (Barb Thread) เป็นไหมเส้นใหญ่ที่มีเงี่ยงออกมาเพื่อไว้ยึดเกาะกับผิวหนัง ลักษณะเงี่ยงอาจมี 1 หรือ 2 ทิศทาง ทำให้ช่วยยกกระชับผิวที่มีปัญหาหย่อนคล้อยได้ดี
- ไหมกรวย (Silhouette Soft) เงี่ยงเป็นแบบกรวย 3 มิติ มีลักษณะเหมือนกรวยไอศกรีม จุดเด่นของไหมกรวยคือสามารถช่วยยกกระชับและสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้ดีกว่าไหมแบบอื่นโดยไม่บาดผิวและทำลายเนื้อเยื้อให้บาดเจ็บ
- ไหมโครงตาข่าย (Tesslifft) เงี่ยงไหมมีลักษณะพิเศษกว่าไหมแบบอื่น คือเงี่ยงมี 2 ชั้น ทำให้เงี่ยงมีความแข็งแรง จึงสามารถช่วยให้ผิวที่หย่อยคล้อยยกกระชับได้มาก
ปลายเข็มแบบไหนดีกว่า ?
เข็มที่ใช้ในการร้อยไหมโดยปกติแบ่งเป็น 2 ชนิดด้วยกันคือ เข็มปลายแหลมและเข็มปลายทู่ ซึ่งเข็มทั้งสองแบบมีคุณสมบัติที่ต่างกันอย่างชัดเจน จึงควรเลือกใช้เข็มตามสภาพผิวเป็นหลักเพื่อให้ได้ ผลลัพธ์ของการยกกระชับที่ดี ดังนี้
- เข็มปลายแหลม สามารถผ่านผิวเข้าไปได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวหนา มีหลุมสิว รูขุมขนกว้าง หรือมีผังผืดใต้ผิวเยอะเนื่องจากการทำศัลยกรรม แต่จะมีข้อเสียคือมีโอกาสเกิดรอยเขียวช้ำหรือบวมได้ง่าย
- เข็มปลายทู่ จะแยกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
- เข็มปลายทู่แบบตัด(L-type) ลักษณะปลายเข็มจะมีความตัดตรง ไม่มีความคมเท่าปลายเข็มแหลม แต่จะมีความคมกว่าเข็มปลายทู่แบบมน
- เข็มปลายทู่แบบมน(W-type) ลักษณะปลายเข็มจะมีความทู่มน จุดเด่นคือไม่บาดผิว
เนื่องจากปลายเข็มเป็นแบบทู่ ทำให้สามารถลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ รวมถึงลดโอกาสการบาดเจ็บของเส้นเลือดและเส้นประสาทได้ หลังร้อยด้วยเข็มลักษณะนี้จะมีอาการบวมเขียวช้ำน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน
สรุป
ร้อยไหมมี 2 แบบคือไหมละลายและไหมไม่ละลาย ปัจจุบันนิยมใช้ไหมละลายเนื่องจากเป็นไหมที่มีประสิทธิภาพในการยกกระชับหน้าได้ดี เห็นผลลัพธ์ชัดเจนโดยไม่ทิ้งสารตกค้างและก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย ลักษณะของเส้นไหมก็จะมีหลายแบบ แต่ละแบบจะมีคุณสมบัติและหลักการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นคนไข้ควรเลือกร้อยไหมให้ตรงกับปัญหาและความต้องการมากที่สุดค่ะ